เรื่องเล่าจากรุ่นพี่ “ถ้าพี่เลือกได้พี่คงจะซื้อประกันมากกว่ากองทุน”

เค้าบอกว่าคนเรามักจะเผยความในใจเวลากินเหล้าหรือพูดเรื่องบางอย่างออกมาเวลานั่งกินข้าว มากกว่าพูดบนโต๊ะทำงาน ไม่รู้ทุกคนเคยได้ยินเรื่องนี้ไหมครับ

วันก่อนผมไปกินข้าวกับพี่คนนึงมา ช่วงนี้ตัวเองกำลังหัดเล่นหุ้น เลยไปขอคำปรึกษาพี่ว่าจะเลือกหุ้นตัวไหนดี ซื้อ-ขาย ยังไง ดูผลตอบแทนยังไงบลาๆ เพราะตอนนี้ผมซื้อแต่ประกันไว้ลดหย่อนภาษีกับกองทุนรวมนิดหน่อยที่เอาไว้ลงทุน

พูดถึงเรื่องกองทุนแล้วก็เลยได้แชร์เรื่องกองทุนที่สนใจว่าตอนนี้ลงในกองไหนบ้าง กองไหนจะปันผล กองไหนดูแล้วกำลังขึ้น และที่สำคัญกองไหนที่ซื้อไว้ติดลบอยู่

พอมาถึงกองไหนที่ติดลบนี่แหละครับ ของขึ้นทั้งคู่เลย เพราะกองทุน LTF ที่ผมซื้อไว้ลดลงภาษีตอนนี้ติดลบ เกือบ 20% (15-19%) ส่วนของพี่เค้าก็ติดลบเยอะไม่แพ้กันเลย ดูแล้วยิ่งช้ำใจเพราะมันถึงครบกำหนดที่ขายคืนได้ แต่ดันขายไม่ได้เพราะมันติดลบอยู่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมาเท่าเดิมหรือเป็นบวกอีกครั้ง ของผมซื้อไว้ไม่เยอะ ติดลบไปก็แค่ไม่กี่พัน แต่ของพี่เค้าน่าจะหลายหมื่นทีเดียว

“รู้งี้พี่ซื้อประกันไว้ลดหย่อนแทนดีกว่า”

ประโยคนี้แหละครับที่อยากนำมาเล่าต่อ
หลายคนรู้ว่าการลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้นมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงสูงที่จะติดลบเช่นกัน แต่กลับมองว่าประกันชีวิตให้ผลตอบแทนน้อยไม่คุ้มค่ากับการลงทุน

ความจริงแล้วประกันชีวิตออมทรัพย์เป็นสินทรัพย์ที่ไม่เหมาะกับการลงทุนจริงๆแหละครับ การทำประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ไม่ใช่เป้าหมาบของการลงทุน แต่เพื่อคุ้มครองชีวิต คนทำได้ใช้เงิน มีเงินคืน ลดหย่อนภาษี ได้เงินก้อนเป็นอะไรไปคนที่เรารักก็รับผลประโยชน์ไป ที่สำคัญไม่ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำขาดไหน GDP ติดลบ ธนาคารปรับลดดอกเบี้ยลงแล้วลงอีก กองทุนจะติดลบ หุ้นจะล่วง ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ก็ยัง “การันตีผลตอบแทนและเงินคืน” ตามแบบที่ได้ทำไว้เหมือนเดิม ไม่ได้มาขอยกเว้นเงินคืน หรือขอเลื่อนจ่ายเงินคืนเลย

ฉะนั้นแล้วการลงทุนหรือการลดหย่อนภาษีที่ดีทุนสุดคือการกระจายไว้หลายๆที เพื่อลดความเสี่ยงนะครับ