ประกันโรคร้าย จ่ายจุใจ คุ้มครองโรคร้าย เจอจ่าย หลักล้าน

มีประกันสุขภาพแล้ว…ทำไมยังควรมีประกันโรคร้ายแรง? หลายคนวางแผนชีวิตได้ดี มีประกันสุขภาพไว้รองรับค่ารักษาพยาบาลเวลาล้มป่วย ถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญของการดูแลตัวเอง แต่ในโลกความจริง โรคบางอย่างไม่ได้จบแค่ “รักษาแล้วหาย” โดยเฉพาะ “โรคร้ายแรง” ที่เปลี่ยนชีวิตได้ในพริบตา ค่ารักษา ≠ ค่าใช้ชีวิต ประกันสุขภาพโดยทั่วไปจะช่วยเรื่อง “ค่ารักษาพยาบาล” ในโรงพยาบาล เช่น ค่าห้อง ค่าหมอ ค่ายา ค่าผ่าตัด ฯลฯแต่ “ประกันโรคร้ายแรง” คือเงินก้อนที่จ่ายให้คุณทันทีเมื่อตรวจพบโรคที่ระบุไว้ เช่น มะเร็ง หัวใจล้มเหลว หรืออัมพฤกษ์เงินก้อนนี้ไม่ต้องใช้ในโรงพยาบาลเท่านั้น คุณสามารถนำไปใช้ยังไงก็ได้ เช่น ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหากต้องหยุดงานยาว ดูแลครอบครัวเมื่อคุณกลายเป็นผู้ป่วย เสริมการรักษาที่นอกเหนือจากประกันสุขภาพครอบคลุม เดินทางไปรักษาต่างประเทศ หรือเลือกทางเลือกใหม่ที่ต้องจ่ายเอง เมื่อโรคไม่ได้เปลี่ยนแค่ร่างกาย…แต่เปลี่ยนทั้งชีวิต ลองคิดดูว่าถ้า “มะเร็ง” มาเคาะประตูบ้านคุณคุณอาจต้องหยุดงาน, รายได้หาย, ค่าใช้จ่ายเพิ่ม, ความกังวลท่วมท้นและทั้งหมดนี้…อาจไม่ได้มีเวลาให้คิดแผนอะไรใหม่ทัน แต่ถ้ามีประกันโรคร้ายแรง คุณจะมี “เงินก้อนพร้อมใช้” เพื่อประคองชีวิตช่วงนั้น ให้คุณมีอิสระในการตัดสินใจมากขึ้น ไม่ต้องพึ่งคนอื่น ไม่ต้องรีบกลับไปทำงานเพียงเพราะขาดรายได้ แผน 1 โรคร้ายจ่ายทุกระยะ แผน 1: จ่ายทุกระยะ […]

เปรียบเทียบประกันชีวิตแบบสามัญ, Universal Life (UL) และ Unit Linked (UN)

การเลือกประกันชีวิตที่เหมาะกับตนเองเป็นเรื่องสำคัญ เพราะแต่ละแบบมีจุดเด่น จุดด้อย และความยืดหยุ่นต่างกัน บทความนี้ผมจะพาคุณไปทำความเข้าใจ 3 แบบหลักของประกันชีวิต ได้แก่ แบบสามัญ (Traditional Life Insurance), Universal Life (UL), และ Unit Linked (UN) เพื่อช่วยให้คุณเลือกแบบที่เหมาะกับเป้าหมายทางการเงินของคุณได้ดีที่สุด 1) ความคุ้มครองชีวิต ประกันแบบสามัญ: ความคุ้มครองถูกกำหนดตามแผนที่บริษัทประกันกำหนด ผู้เอาประกันไม่สามารถเลือกเองได้ Universal Life และ Unit Linked: ผู้เอาประกันสามารถเลือกความคุ้มครองชีวิตเองได้ เช่น เพิ่มหรือลดทุนประกันตามความต้องการ ตัวอย่าง: หากคุณต้องการความคุ้มครองชีวิตสูงในช่วงที่มีภาระหนี้สูง UL และ UN จะยืดหยุ่นกว่าประกันแบบสามัญ 2) ผลตอบแทน ประกันแบบสามัญ: ผลตอบแทนตายตัว ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ UL: มีการการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำ เช่นแผนยูแอลพลัส การันตีผลตอบแทนปีแรก 4% ปีต่อไปปีละ 1% UN: ไม่การันตี ขึ้นอยู่กับผลการลงทุนในกองทุนที่เลือก ผู้เอาประกันต้องเข้าใจความเสี่ยงของการลงทุน […]

ประกันสุขภาพแบบร่วมจ่าย (Copayment) เริ่มใช้ 20 มีนาคม 2568

อยากทำประกันสุขภาพต้องรู้ ตั้งแต่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา ประกันสุขภาพแบบร่วมจ่าย (Copayment) เริ่มใช้แล้ว Copayment คืออะไร? การจ่ายค่ารักษาพยาบาลโดยผู้เอาประกันและบริษัทประกันภัยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตามสัดส่วนที่สำหนด เช่น Copayment 30% หมายถึง ผู้เอาประกันจ่าย 30% ของค่ารักษาพยาบาลแต่ละครั้ง ส่วนที่เหลืออีก 70%บริษัทประกันเป็นเป็นผู้รับผิดชอบ ตัวอย่างที่ 1 การเคลมโรคไม่รุนแรง (Simple Deciese) หรืออาการที่ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล เบี้ยประกันสุขภาพ 20,000 บาทต่อปี เคลมครั้งที่ 1 10,000 บาท  เคลมครั้งที่ 2 15,000 บาท เคลมครั้งที่ 3 20,000 บาท (10,000+15,000+20,000)/20,000‎ = 2.25*100=225% รวมนอนโรงพยาบาล 3 ครั้ังและค่ารักษา 225% (เกิน 200% ของเบี้ยประกัน)ปีกรมธรรม์ถัดไปลูกค้าจะต้องจ่ายค่ารักษาร่วมทุกครั้งที่รักษา 30% ตัวอย่างที่ 2 การเคลมสำหรับโรคทั่วไปกรณีเป็นผู้ป่วยใน (แต่ไม่รวมการผ่าตัดใหญ่และโรคร้ายแรง) เบี้ยประกันสุขภาพ […]

ประกันชีวิตที่ออกแบบให้เหมาะกับตัวเราเองได้ ไม่ต้องเหมือนใคร…และไม่มีใครเหมือน

ประกันชีวิตที่ออกแบบให้เหมาะกับตัวเราเองได้ ไม่ต้องเหมือนใคร…และไม่มีใครเหมือน ด้วยmDesign ประกันชีวิตควบการลงทุนที่สามารถออกแบบความคุ้มครองเองได้ ปรับเปลี่ยนแผนการลงทุน หรือระยะเวลาจ่ายเบี้ยเองได้ ตัวอย่างที่ 1 คุณธี เพศชาย อายุ 35 ปี เป็นเสาหลักดูแลคุณพ่อ คุณแม่ อยากมีความคุ้มครองเป็นมรดก 1,500,000 บาท จ่ายเบี้ย 10 ปี และหยุดจ่ายเบี้ยเบี้ยประกันปีละ 100,000 บาท ความคุ้มครองเสียชีวิต 1,500,000 บาทมให้ตั้งแต่อายุ 35-60 ปี คาดการณ์ผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ย 3% ต่อปี เมื่ออายุ 60 ปีต้องการมูลค่าการลงทุนที่อยากอยากนำมาใช้หลังเกษียณคาดว่าจะมีผลตอบแทนจากมูลค่า 1,476,012 บาท ตัวอย่างที่ 2 คุณธร เพศชาย อายุ 35 ปี เป็นเสาหลักดูแลคุณพ่อ คุณแม่ มีภรรยาที่ดูแล มีลูกกำลังเล็กเตรียมเงินก้อน 5,000,000 บาท จ่ายเบี้ย 10 ปี และหยุดจ่ายเบี้ยเบี้ยประกันปีละ 100,000 […]

สถานการณ์สังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย

ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว!  ค่าใช้จ่ายหลักของผู้สูงอายุสูงถึงหลักหมื่นต่อเดือน แต่รายได้กลับไม่พอใช้!? 1) สถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศไทย (ประมาณการปี 2567) จำนวนและสัดส่วนผู้สูงอายุ : ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 2564 และปี 2567 คาดว่าจำนวนผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มีมากกว่า 13 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 20% ของประชากรทั้งหมด (จากประชากรไทยประมาณ 66–67 ล้านคน) การจำแนกผู้สูงอายุ: 60–69 ปี (ผู้สูงอายุระยะแรก) สัดส่วนประมาณ 60%, 70–79 ปี ประมาณ 30% และ 80 ปีขึ้นไป (ผู้สูงอายุระยะปลาย) ประมาณ 10% แนวโน้มในอนาคต: คาดว่าไทยจะเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-aged society) ภายในปี 2574 คือมีผู้สูงอายุเกิน 28% ของประชากร ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น ปัญหาการพึ่งพิงรายได้ […]

1 2 3 59